แต่ก่อน ขณะที่เทคโนโลยีด้านอวกาศยังไม่ปรับปรุงมากเท่าไรนัก มนุษย์เราก็มั่นใจว่าโลกของพวกเราแบนดังแพนขนมเค้ก ถ้าเกิดพวกเราออกเรือไปจนถึงสุดขอบโลก คนบนเรือก็จะตกโลกตายกันหมด แต่ว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านอวกาศของพวกเราปรับปรุงมากยิ่งกว่าเดิมแล้ว มนุษย์เราสามารถส่งยานตรวจขึ้นอวกาศเพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลมได้ แต่ว่าเพื่อนพ้องๆเคยสงสัยกันไหมว่าแล้ว “สุดขอบ” ระบบสุริยะล่ะมีหน้าตาเป็นยังไง วันนี้เรา ได้หาคำตอบมาให้ท่านแล้ว เมื่อก่อนที่จะไปรับดูกัน อย่าลืมกดไลค์ รวมทั้งกดติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจ ไว้ เพื่อเป็นอันมากหัวใจให้กับเราด้วยนะคะ
.

สหายๆที่เป็นแฟน จำเรื่อง “ส่งข้อความถึงเอเลี่ยนผ่าน ‘แผ่นบันทึกทอง’” ที่พวกเราเคยพรีเซนเทชั่นไปก่อนหน้าที่ผ่านมาได้รึเปล่าขา ถ้าคนใดกันแน่เคยอ่านแล้วจำไม่ได้ หรือยังไม่เคยอ่านเลย ประเดี๋ยวพวกเราจะสรุปสั้นๆให้ฟัง แต่ว่าหากคนไหนกันต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถกดลิ้งค์เข้าไปอ่านบทความเต็มไปเลยจ้ะขา
.

ทดลองเล่นสลอต

โปรเจกต์แผ่นบันทึกทองนี้เป็นโปรเจกต์ของยานวอยเอจพบร์ โดยคณะทำงานจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติจะนำเมดเลย์ภาพและก็เสียงที่เป็นผู้แทนของโลก ยกตัวอย่างเช่น เสียงปลาวาฬ เสียงคลื่น คำกล่าวทักทายของมากมายประเทศทั่วทั้งโลก เพลงที่ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมต่างๆอื่นๆอีกมากมาย ใส่ลงไปในแผ่นบันทึกทองแล้วส่งขึ้นอวกาศไปกับยานวอยเอจพบร์ 1 (Voyager 1) และก็ วอยเอจพบร์ 2 (Voyager 2) ในวันที่ 20 เดือนสิงหาคม 1977
.

โปรเจกต์นี้ราวกับโยนขวดพร้อมใจความ SOS ลงในสมุทร โดยหวังว่าวันหนึ่งมนุษย์ดาวอื่นผู้ทรงความคิดจะบังเอิญพบแผ่นบันทึกนี้เข้าแล้วเอาไปเปิดฟัง มนุษย์ดาวอื่นจะได้ทราบว่ามีดวงดาวที่สวยชื่อว่าโลกอยู่แล้วก็บางทีก็อาจจะต้องการมาเยี่ยมเยือนพวกเราบ้าง
.

ทดลองเล่นสล๊อต

แล้วก็นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปก็จะเกิดเรื่องราวการศึกษาและทำการค้นพบครั้งใหม่ เนื่องจากภายหลังที่ยานวอยเอจพบร์ 1 และก็ 2 เดินทางไปในอวกาศเรื่อยและก็ส่งสัญญาณบอกตำแหน่งกลับมาเป็นช่วงๆเมื่อปี 2018 ก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดยานวอยเอจพบร์ 2 ก็เดินทางมาถึงสุดขอบระบบสุริยะที่พวกเราเรียกว่า “เฮลิโอสเฟียร์” (Heliosphere)
.

ซึ่งเจ้าเฮลิโอสเฟียร์นี้มีต้นเหตุจากลมสุริยะที่พัดมาจากดวงตะวัน ปะทะกับรังสีคอสมิกนอกระบบสุริยะจนกระทั่งไปต่อไม่ติด เลยกำเนิดเป็นแถบพลาสมาความร้อนสูงแม้กระนั้นความหนาแน่นต่ำขึ้น โดยมันจะมีหน้าตาราวกับฟองสบู่ห่อหุ้มระบบสุริยะของพวกเราไว้ นับว่าเป็นจุดจบของขอบระบบสุริยะ แล้วยานวอยเอจพบร์ 2 ของพวกเราก็ไปติดอยู่กับฟองเฮลิโอสเฟียร์นี่แหละ ด้วยเหตุว่ารอบๆดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมีอุณหภูมิมากถึงหลายหมื่นองศาเซลเซียส พูดได้ว่าเป็น “กำแพงไฟ” ที่ล้อมระบบสุริยะของพวกเราเอาไว้เลย
.

แม้กระนั้นหากถามคำถามว่านักวิทยาศาสตร์ของพวกเราสะดุ้งกับเรื่องกำแพงไฟนี่มั้ย ก็ขอบอกเลยว่า “ไม่” ด้วยเหตุว่านักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่ามีกำแพงไฟนี่ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่พวกเราไม่คิดว่ามันจะมีความร้อนมากถึงขนาดนี้ โดยจากข้อมูลที่ยานวอยเอจพบร์ 2 เก็บมาได้พบว่ากำแพงไฟนี้มีอุณหภูมิถึง 30,000 – 50,000 องศาเซลเซียส รวมทั้งการศึกษาและทำการค้นพบนี้ก็ถูกเผยแพร่ลงในนิตยสารวิทยาศาสตร์ออนไลน์ Nature Astronomy ด้วย
.

ทดลองเล่นสล๊อต

ปัญหาต่อมาเป็น แล้วยานวอยเอจพบร์ 2 ที่โดนกำแพงไฟเข้าไปจะไม่พังทลายไปแล้วหรอ ซึ่งทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(สหรัฐอเมริกา)ก็ออกมาให้คำตอบว่า ด้วยอุณหภูมิที่สูงถึงกับขนาดนี้อาจจะก่อให้ยานเดินทางไปถัดไปได้ช้าลงก็จริง เนื่องจากว่าหากเอาแต่ใจไปต่อยานอาจได้รับความเสื่อมโทรมหนักจนกระทั่งขั้นพังทลายจนถึงไปต่อไม่ติดเลยก็ได้ แต่ว่าสำหรับในเวลานี้ยานวอยเอจพบร์ 2 คงจะยังอยู่ในภาวะที่ทำงานต่อได้อยู่ เนื่องจากยานยังไม่มีการส่งสัญญาณเตือนว่ามีส่วนเสียหายอย่างหนักอะไร
.

ส่วนทางด้านยานวอยเอจพบร์ 1 ที่ถูกส่งไปในแนวทางตรงกันข้ามกับยานวอยเอจพบร์ 2 สุดท้ายยานลำนี้ก็เดินทางมาถึงกำแพงไฟแล้วเช่นเดียวกันในปี 2012 ซึ่งเมื่อยานอวกาศทั้งคู่เดินทางมาถึงสุดขอบระบบสุริยะแล้ว มันก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถจินตนาการเค้าหน้าของฟองเฮลิโอสเฟียร์ที่ห่อระบบสุริยะพวกเราอยู่ได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยตอนนี้ยานทั้งคู่อยู่ห่างจากโลกไปราวๆ 18,000 ล้านกม.
.

โปรสล๊อต

คาดว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปยานทั้งคู่ก็คงจะยังคงทำภารกิจตรวจสอบอวกาศถัดไปได้อยู่ เพราะว่าถึงแม้ว่ายานทั้งคู่จะเก่ามากมายแล้ว แม้กระนั้นเครื่องไม้เครื่องมือตรวจจำนวนมากก็ยังคงดำเนินการได้ดิบได้ดี ด้วยเหตุดังกล่าวทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(สหรัฐอเมริกา)ก็เลยคาดว่ายานทั้งคู่จะยังทำหน้าที่ถัดไปได้จวบจนกระทั่งพลังงานพลูโตเนียมที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับนำไปเป็นพลังงานของยานจะหมดลง
.

สรุปแล้ว ระบบสุริยะของพวกเราอยู่ในฟองเฮลิโอสเฟียร์ที่มีกำแพงไฟความร้อนสูงล้อมอยู่ แม้ว่ามันจะก่อให้ยานอวกาศของพวกเราเดินทางออกไปข้างนอกได้ยากขึ้น แต่ว่าเมื่อดูในแง่คิดกัน มันก็เป็นเสมือนกำแพงคุ้มครองป้องกันรังสีคอสมิกรวมทั้งสิ่งปลอมปนจากนอกระบบสุริยะไม่ให้เดินทางเข้ามาในระบบสุริยะของพวกเราได้ด้วย
.

แล้วเพื่อนพ้องๆล่ะขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ปัจจุบันนี้พวกเราศึกษาค้นพบกำแพงไฟที่สุดขอบระบบสุริยะแล้ว ไม่แน่ว่าในอนาคตพวกเราบางทีอาจสามารถสร้างยานที่ปกป้องและก็ขับผ่านกำแพงไฟนี้ไปก็ได้ ในวันนั้นพวกเราก็อาจจะสามารถออกไปตรวจสอบอวกาศได้ไกลขึ้นกว่าเดิมมากมาย