หน้าที่อย่างหนึ่งของทุ่งนาซ่าก็คือการตรวจค้นแล้วก็เฝ้าระวังภัยอันตรายจากชิ้นส่วนของวัตถุน้อยใหญ่ต่างๆในห้วงอวกาศ ดังเช่นว่า เศษหินที่บางทีอาจหลุดกระเด็นมาไกลจากการเผชิญหน้ากันในแถบดาวนพเคราะห์น้อย, หรือบางทีอาจจะเป็นดาวหางอันเกิดขึ้นจากในตอนก่อร่างสร้างพระอาทิตย์ที่โคจรเฉียดฉิวเข้ามาใกล้ และก็ รวมถึงวัตถุเขยื้อนปัญหาอื่นๆจากระบบดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน ที่บางทีอาจเดินทางมาเยี่ยมระบบสุริยะของพวกเราได้ ตัวอย่างเช่นในกรณีของ โอมูอามูอา (Oumuamua อ่านออกเสียงว่า ‘โอมัวมัว’) ฯลฯ ซึ่ง โอมูาอมูอา ถูกศึกษาและทำการค้นพบได้เป็นครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์และก็นักดาราศาสตร์นามว่า โรเบิร์ต เวริก (Robert Weryk) ขณะที่ทำการตรวจค้นวัตถุผู้ต้องสงสัยจากฟ้าผ่านกล้องส่องทางไกล แพน-สตาร์ส 1 (Pan-STARRS 1)ในหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ฮาเลอาค้างลา, เมืองฮาวาย, อเมริกา (Haleakala Observatory, Hawaii, USA) ตอนวันที่ 19 ต.ค. ปี คริสต์ศักราช 2017 ซึ่งนี่ก็เป็นระยะเวลานานมาแทบ 50 ปีแล้ว ตั้งแต่แมื่อนาซ่าเริ่มตั้งใจจริงกับการสังเกตการณ์มองหาแขกจากดินแดนไกลอย่าง โอมูอามูอา ทั้งยังการมาเยี่ยมของมันในคราวนี้ (รวมทั้งหนสุดท้าย) ก็ถือว่า นี้เป็นการตรวจเจอวัตถุระหว่างดวงดาวที่โคจรเขยื้อนผ่านเข้ามายังระบบสุริยะของพวกเราได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย ยังน้อยเกินไปเท่านี้ นอกจากไปจากการมาเยี่ยมของมันจะเป็นการรับรองว่า โลกของพวกเรานั้นมิได้อยู่อย่างสันโดษในอวกาศแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังเจออีกว่าการกระทำการเคลื่อนที่ของ โอมูอามูอา ยังสามารถเปลี่ยนความเร่งของตนเองได้ขณะโคจรอยู่ในระบบสุริยะ! รวมทั้งรวมถึงรูปร่างที่เรียวยาวอย่างแตกต่างจากปกติของมันก็ด้วย นี่ก็เลยทำให้หลายท่านอดที่จะคิดสงสัยมิได้เลยว่า เจ้าสิ่งนี้มันเป็น เทคโนโลยียานอวกาศอันล้ำยุคของสิ่งมีชีวิตทรงความคิดต่างดาวใช่หรือไม่?
ลักษณะทางร่างกายภายทั่วๆไป
โอมูอามูอา (oumuamua) นั้นเป็นชื่อที่ถูกตั้งไว้ให้แก่มัน โดยคำดังกล่าวข้างต้นเป็นคำเรียกใช้ในภาษาของชาวฮาวายเดิมที ที่แปลว่า scout หรือ ผู้สืบ แล้วก็จากการวัดค่าความสว่างที่ตรวจเจอ นักวิทยาศาสตร์ก็พินิจพิจารณาออกมาได้ว่า มันคงจะมีความกว้างและก็ลึกอยู่ที่ราวๆ 35 ถึง 167 เมตร แล้วก็มีความยาวอยู่ที่ราว 230 ถึง 1,000 เมตร โดยจากลักษณะทรงของมันที่มีด้านยาวมากยิ่งกว่าด้านกว้างราว 10 ต่อ 1 นี้ ก็เลยได้ไปสร้างความสงสัยให้กับนักดาราศาสตร์อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะว่าจากการเล่าเรียนชิ้นส่วนของวัตถุขนาดใหญ่ต่างๆข้างในระบบสุริยะพวกเราก็บอกได้เลยว่า ไม่มีอัตราส่วนไหนๆเลย ที่มีความต่างของด้านยาวและก็ด้านกว้างมากมายก่ายกองขนาดนี้ ทั้งยังสีของมันยังออกไปในโทนแดงอีกด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็พินิจพิจารณาออกมาว่า มันอาจมีส่วนประกอบของโลหะหนักอยู่เสียเป็นส่วนมาก คล้ายกับว่า โอมูอามูอา นั้น ได้มีบ่อเกิดมาจากข้างนอกระบบสุริยะของพวกเรา หรือ เป็นแขกจากระบบดาวฤกษ์ดวงอื่นในกาแล็กซี่กาแลคซี่ทางช้างเผือก และก็ที่สำคัญ ครั้งที่มันได้โคจรเขยื้อนผ่านพระอาทิตย์ พวกเรากลับไม่เจอสัญญาณของ ‘หาง’ ตามที่ปรากฏปกติสำหรับดาวหางทั่วๆไปอีกด้วย แต่ว่าเวลาเดียวกันความเร็วของมันก็ดูเหมือนจะถูกรีบให้เร็วขึ้นอีกต่างหาก ซึ่งความประพฤติแบบนี้ดูเหมือนมีความขัดแย้งต่อกฎการเคลื่อนที่ทั่วๆไปอย่างยิ่ง นอกเสียจากว่า โอมูอามูอานั้นอาจไม่ใช่ผลิตผลจากธรรมชาติ แม้กระนั้นเป็นประดิษฐกรรมที่ล้ำยุคของผู้คนต่างดาวเองต่างหาก อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์ก็ให้คำชี้แจงว่า การที่มันสามารถเร่งความเร็วของตนเองได้ ก็บางทีอาจสำเร็จพวงมาจากแรงกดดันของรังสีจากพระอาทิตย์ ได้ไปผลักให้มันมีความเร่งที่มากขึ้น! และก็อีกหนึ่งการกระทำที่น่าดึงดูดก็คือ โอมูอามูอานั้นสามารถยืดรวมทั้งหดตัวเองได้อย่างอิสระ โดยคำชี้แจงจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญก็กล่าวว่า มันสำเร็จสาเหตุจากการหมุนรอบกายเอง คล้ายกับก้านไม้ที่หมุนเขยื้อนไปๆมาๆในสายน้ำ ถ้าหากจะว่าไปและเป็นที่โชคร้ายสำหรับมนุษย์อยู่ด้วยเหมือนกัน ที่พวกเราไม่บางทีอาจสามารถส่งยานตรวจไปเยี่ยมเยี่ยมมันได้ทัน ทั้งยังการมาเยี่ยมของมันก็เป็นเพียงแค่การทักเพียงแต่ท่องเที่ยวเดียวแค่นั้น หรือก็คือ พวกเราจะไม่มีช่องทางอีกแล้วที่กำลังจะได้ตรวจวัตถุปัญหานี้อย่างใกล้ชิด
เรื่องราวตรวจเจอความไม่ปกติของ โอมูอามูอา
ข้อมูลสังเกตุวิถีโคจรของโอมูอามูอานั้น ได้รับมาจากสองกล้องส่องทางไกลภาคพื้นดินที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮาวายอย่าง แพน-สตาร์ส1 (Pan-STARRS1) ในโครงงานเฝ้าระวังภัยจากห้วงอวกาศที่ชื่อ The Spaceguard Survey และก็กล้องส่องทางไกลนานาประเทศ ซีเอฟเอชครั้ง (The Canada-France-Hawaii Telescope) ซึ่งสามารถตรวจเจอวัตถุผู้ต้องสงสัยจากห้วงอวกาศได้เป็นครั้งแรก ช่วงวันที่ 19 เดือนตุลาคม ปี คริสต์ศักราช 2017 ผ่านการรับรองขนาดทรงอันเรียวยาวโดยกล้องส่องทางไกลวีแอลครั้ง (The Very Large Telescope) ในเมืองฮาวายเดียวกัน รวมถึงความร่วมแรงร่วมใจจากกล้องส่องทางไกล เจไม่ไนเซาธ (The Gemini South telescope) ในประเทศประเทศชิลีเองก็ด้วย ซึ่งข้อมูลการตรวจเจอในคราวนี้ถูกเก็บรวบรวมโดยสองนักดาราศาสตร์อย่าง ติดอยู่เรน เจ. มีช (Karen J. Meech) แล้วก็ โรเบิร์ต เวริก (Robert Weryk) ซึ่งทั้งสองได้ด้วยกันแถลงข่าวการศึกษาค้นพบวัตถุลึกลับนี้อย่างเป็นทางการหนแรกในนิตยสารวิทยาศาสตร์ เนพบร์ (Nature) ช่วงวันที่ 20 พ.ย. ปี คริสต์ศักราช 2017 แล้วก็ภายหลังการโพสต์ประกาศในตอนนั้นก็ทำให้ โอมูอามูอา ได้เปลี่ยนมาเป็นวัตถุที่น่าดึงดูดต่อแผนการตรวจอวกาศอย่าง Great Observatories ในทันทีทันใด อันประกอบไปด้วยสองกล้องส่องทางไกลอวกาศมีชื่ออย่าง ฮับเบิลแล้วก็สปิตเซอร์ (Hubble and Spitzer)
ถ้าจะว่าไปแล้วในก่อนหน้าที่ผ่านมาก็เคยมีการตรวจเจอร่องรอยจางของ โอมูอามูอาได้อยู่ด้วยเหมือนกัน แม้กระนั้นด้วยเหตุว่ามันมีขนาดที่เล็กแล้วก็มืดมากก็เลยทำให้ยากแก่การส่องหา แม้กระทั้งกล้องส่องทางไกลอวกาศอย่าง STEREO HI-1A ในภารกิจตรวจค้นเรื่องผิดปกติจากดวงตะวันเองก็ด้วย จนถึงสุดท้ายช่วงวันที่ 9 ก.ย. 2017 โอมูอามูอา ก็โคจรเข้ามาใกล้ดวงตะวันที่สุด ซึ่งตอนนั้นค่าความสว่างที่ปรากฏ ก็แจ่มชัดสุดเพียงแค่ 13.5 mag. (Apparent Magnitude) หรือพอกับค่าความสว่างสุดของพระจันทร์ไทรทัน (Triton) ดาวบริวารของเนปจูน แค่นั้น ก่อนที่จะมันจะได้รับการรับรองว่าเป็นวัตถุจากนอกอวกาศจริงในวันที่ 19 ต.ค. 2017 ซึ่งในขณะนั้นค่าความสว่างของมันก็ต่ำลงไปเหลือเพียงเพียงแค่ 23 mag. จากนั้นตอนกลางเดือนเดือนธันวาคม 2017 มันก็ปรากฎให้มองเห็นแบบริบรี่ๆรวมทั้งเคลื่อนหนีออกไปด้วยความเร่งอย่างน่าฉงนใจ
จากทรงอันเรียวยาวและก็พฤติแขนรการเคลื่อนที่ของมันที่เป็นปัญหานี้ๆเอง ก็เลยทำให้ โอมูอามูอา มักมากถูกนำไปเปรียบเทียบกับยานอวกาศรามา (หรือ ยานอวกาศราม) จากนิยายวิทยาศาสตร์คลาสสิกเรื่อง Rendezvous with Rama (หรือชื่อในภาษาไทยว่า อย่างกับอวตาร) ที่เอ่ยถึงยานอวกาศลึกลับจากอารยธรรมอื่น ในทรงกระบอกขนาดความยาวราว 30 ไมล์ ขณะเดินทางเข้ามาในระบบสุริยะ และก็ถูกตรวจโดยกลุ่มนักบินอวกาศชาวโลกในเวลาถัดมา โดยนิยายดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะอุตสาหะบอกกล่าวถึงการสำรวจอันน่าตื่นเต้นในมุมมองของนักตรวจสอบ และก็พูดถึง “การพบปะต่อเนื่องกันหนแรก” (first contact) ของสองอารยธรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็แล้วแต่จากค่าความสว่างที่ไม่เสถียรของมันบวกกับเฉดสีที่สะท้อนออกมาในโทนแดง (ซึ่งบางทีอาจเป็นสีสะท้อนจากสารอินทรีย์ หรือแร่เหล็ก) ก็มีความน่าจะเป็นว่ามันบางทีอาจเป็นเพียงแต่ดาวพระเคราะห์น้อยจากระบบดาวฤกษ์อื่นในทางช้างเผือกเพียงแค่นั้น ทั้งด้วยการรับรองจากหน่วยงานเซติ หรือหน่วยงานการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงความคิดจากต่างดาวผ่านกล้องส่องทางไกลวิทยุ (The SETI Institute’s radio telescope) ก็ไม่ตรวจเจอว่า โอมูอามูอา จะมีการส่งคลื่นวิทยุออกมาอะไร
เส้นทางโคจร (Trajectory)
เส้นทางโคจรของ โอมูอามูอา ปรากฎอย่างคร่าวๆว่า มันมาจากระบบดาวเวก้า (Vega Star) ซึ่งเป็นดาวที่สว่างสุดในกลุ่มดาวไลลา (Lyra) ที่อยู่ไกลห่างออกไปจากโลกราว 25 ปีแสง โดยการทำมุมโคจรขณะเข้ามาอยู่ที่ประมาณ6 องศากับแนวเขยื้อนของดวงตะวัน (Apex of the Sun’s Way) ด้วยความเร็วเฉลี่ย 26 กิโลต่อวินาที (ซึ่งเป็นความเร็วสัมพัทธ์ที่เร็วมากเมื่อเทียบกับพระอาทิตย์ ขณะเขยื้อนอยู่ในอวกาศระหว่างดวงดาว) จากลักษณะการเคลื่อนที่ๆความเร็วเอามากๆนี้เอง ก็เลยมีความน่าจะเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่บ่อเกิดของมันบางทีอาจมิได้มาจากระบบสุริยะของพวกเรา และก็จากการเฝ้าพิจารณาในตลอดเวลา 34 วัน สุดท้ายก็ได้รับการรับรองจากนักดาราศาสตร์ เมื่อตอนกลางเดือนพ.ย. ปี 2017 ว่า ทางการเคลื่อนที่ของมัน มีลักษณะวิถีโคจรเป็นแบบไฮเพอร์โบลิค (Hyperbolic Trajectory) โดยมีค่าความรีวิถีโคจร (Orbital eccentricity) อยู่ที่ 1.20 และก็มีความเร็วสูงสุดได้มากถึง 87.71 กิโลต่อวินาทีขณะโคจรเข้าเฉียดฉิวดวงตะวันช่วงวันที่ 9 ก.ย. 2017 หรือจะให้เอาง่ายๆก็คือ มันมีความเร่งมากพอที่จะหนีออกไปจากระบบสุริยะของพวกเราได้! ซึ่งโดยทั่วไปและหลังจากนั้นก็เทหวัตถุต่างๆที่มีค่าความรีวิถีโคจรระหว่าง 0 – 1 จะมีทางเส้นทางโคจรอยู่รอบๆพระอาทิตย์ทั้งสิ้น แต่ว่าแม้กระนั้น ในกรณีของวัตถุที่มีค่าความรีเส้นทางโคจรน้อยกว่า 1 ก็สามารถถูกรีบให้เขยื้อนเร็วได้จนถึงมีค่ามากยิ่งกว่า 1 ได้ ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของดาวหางบอเวล (Bowell, C/1980 E1) ที่ถูกตรวจเจอในปี 1980 ว่า มันได้ถูกรีบให้เคลื่อนเร็วขึ้นโดยแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดี จนถึงสามารถหลุดกระเด็นออกไปจากระบบสุริยะของพวกเราได้ แม้กระนั้นช่วงเวลาที่โอมูอามูอานั้นจะไม่เหมือนกันกับดาวหางบอเวลตรงที่ มันมีความรีวิถีโคจรมากยิ่งกว่า 1 ในตัวอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นจำเป็นต้องอาศัยแรงโน้มถ่วงของดาวพระเคราะห์ใดๆก็ตามข้างในระบบสุริยะไปรีบมันเลย หรือถึงแม้ว่าจะมีมีดาวเคราะห์ปัญหาใดๆก็ตามได้ไปรีบให้มันเคลื่อนเร็วขึ้นก็ตาม ดาวพระเคราะห์ดวงนั้น มันก็จำเป็นจะต้องอยู่ไกลห่างออกไปจากพระอาทิตย์พวกเรามากมายๆรวมทั้งตามกฎการเคลื่อนที่ดาวนพเคราะห์ของเคปเลอร์เอง มันก็น่าจะจะต้องเขยื้อนโคจรไปรอบๆพระอาทิตย์ช้าขึ้นเช่นเดียวกัน แม้กระนั้นจากภาพที่ปรากฎเป็น โอมูอามูอานั้นกลับมีความเร่งเป็นของตนเองอยู่แล้ว นี้ก็เลยเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่การันตีได้ว่า มันมิได้มีต้นกำเนิดมาจากด้านในระบบสุริยะของพวกเรา อย่างเป็นทางการคราวแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่แมื่อมีการเขียนบันทึกมา
โอมูอามูอา เป็นเป็นเรือใบอวกาศจากต่างดาว
ด้วยการที่มันมีคุณลักษณะซึ่งสามารถเร่งความเร็วตนเองได้ และก็มีทรงเรียวยาวคล้ายกับบุหรี่นี้ ก็เลยทำให้นักวิทยาศาตร์บางคน ถึงกับให้การสันนิษฐานถึงแหล่งกำเนิดมันได้อย่างประหลาด เป็นต้นว่ามันบางครั้งก็อาจจะเป็นยานอวกาศขนาดใหญ่ของสิ่งมีชีวิตทรงความคิดจากต่างดาวก็เป็นไปได้ ที่ได้แอบเข้ามาสอดส่องระบบสุริยะ หรือบางทีอาจใช้ดวงตะวันของพวกเราเป็นเพียงแค่แหล่งพลังงานไว้ใช้สำหรับเดินทางต่อในอวกาศเพียงแค่นั้น แล้วก็จากข่อมูลปัจจุบันโดย ชมูเอล เบียลี (Shmuel Bialy) รวมทั้งศ.จ.อับราฮัม โลบ (Abraham Loeb) สองนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์เวิร์ดสมิทโซเนียน ก็ได้ตั้งแนวความคิดใหม่ที่ประหลาดไม่แพ้กัน โดยพวกเขาเสนอว่า โอมูอามูอา บางทีอาจเป็นเรือใบอวกาศขนาดใหญ่จากโลกอื่น! ซึ่งเรือใบอวกาศซึ่งก็คือ ยานอวกาศน้ำหนักค่อยที่มีแผงรับแสงแดดขนาดใหญ่อยู่รอบๆ โดยจะอาศัยแรงกดดันรังสีจากพระอาทิตย์หรือดาวฤกษ์ของระบบดวงดาวอื่น มารอเป็นแหล่งพลังงานขับให้กับยาน คล้ายกับในกรณีของใบเรือที่อาศัยกระแสลมทำให้เรือเคลื่อน
โดยแนวความคิดนี้ ได้อาศัยข้อมูลของผลการสำรวจที่ได้รับจากกล้องส่องทางไกลอวกาศฮับเบิล ที่ตรวจเจอว่าตำแหน่งของโอมูอามูอาในตอนนี้ มันล้ำหน้าไปๆมาๆกจากตำแหน่งที่จะต้องเป็น โน่นก็ทำให้เห็นว่า มันต้องมีอะไรบางอย่าง ไปทำให้โอมูอามูอาเคลื่อนได้เร็วขึ้น! ได้แก่ การคายก๊าซ ซึ่งเป็นต้นเหตุของแนวความคิดที่ว่า โอมูอามูอานั้นเป็นเพียงแต่ชิ้นส่วนของวัตถุพวกดาวหางดังที่ได้มีการเผยแพร่ในบางสื่อก่อนหน้า
แม้กระนั้นเบียลีกับโลบไม่คิดแบบนั้น เขาโต้แย้งว่า ถ้าเกิดโอมูอามูอาเป็นดาวหางจริง แล้วเพราะอะไรมันถึงไม่คายก๊าซให้มองเห็นเลย ขณะเคลื่อนใกล้ดวงตะวัน นอกนั้น ถ้าหากมีการคายก๊าซบนวัตถุดวงนี้จริง ด้วยการคายก๊าซจะไม่เพียงแค่ไปช่วยทำให้กำเนิดความเร่งที่มากขึ้นเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นมันยังควรต้องไปส่งผลต่อความเร็วสำหรับเพื่อการหมุนรอบตนเองด้วย ซึ่งจาการสำรวจก็คือ พวกเรายังไม่เจออัตราการหมุนที่มากขึ้น
ต่อจากนั้น เบียลีกับโลบก็เลยพิจารณาถึงความน่าจะเป็นไปได้ว่า โอมูอามูอา บางทีอาจเป็นเรือใบอวกาศจากอารยธรรมต่างดาว ที่มันได้ส่งมาตรวจสอบระบบสุริยะของพวกเรา!