“Le Voyage dans la Lune” หรือ “A Trip to the Moon” (1902) หนังเงียบขาวดำประเทศฝรั่งเศส(สมัยถัดมาก็มีการทำเวอร์ชั่นย้อม) ดูแลโดย Georges Méliès … ได้ถือกันว่า เป็น หนังไซ-ไฟ เรื่องแรกของโลก กล่าวถึงมนุษยชาติไปพระจันทร์! ออกฉายก่อนที่จะมนุษย์สามารถเหยียบพื้นพระจันทร์ได้จริงๆถึง 67 ปี ( *หมายเหตุ… ยาน Luna 2 ยานของรัสเซีย เป็นยาน(ไม่มีมนุษย์) หรือเป็นวัตถุประดิษฐกรรมแรกจากโลกที่ไปถึงพื้นพระจันทร์ เมื่อ 13 September 1959 , รวมทั้งสิบปีถัดมา Neil Armstrong คนประเทศอเมริกา เป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบพื้นพระจันทร์ ด้วยยาน Apollo 11 ตอนวันที่ 21 July 1969)
:: เกริ่นนำ ทรรศนะการให้ความหมาย “ไซ-ไฟ” ของผู้ทรงคุณวุฒิ
“ไอแซก อาซิมอฟ” (Isaac Asimov) ผู้ได้รับการชมเชยให้เป็นพ่อที่นิยายวิทยาศาสตร์ได้ให้คำจำกัดความของนิยายไซไฟไว้ว่า…”นิยายวิทยาศาสตร์ มีสามแบบเป็น หนึ่งอะไรจะเกิดขึ้น…หาก… สองก็แค่….ถ้าหาก รวมทั้ง สาม ถ้าเกิดสิ่งนี้เกิดขึ้นต่อๆไป”
“อาร์คุณ ซี คลาร์ก” (Arthur C. Clarke) พ่อที่นิยายวิทยาศาสตร์ อีกท่านหนึ่ง ได้เคยให้นิยามไว้ “นิยายวิทยาศาสตร์ เป็นงานวรรณกรรมที่สะท้อนการกระทำของคนเราในบริบทที่วัฒนธรรมของสังคมที่ตนภายใต้อิทธิพลของวิวัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเทคโนโลยี”
“โรเบิร์ต เอ ไฮน์ไลน์” (Robert A. Heinlein) นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นลายครามของสหรัฐ ได้ให้คำอธิบายศัพท์ของนิยายวิทยาศาสตร์ว่า “นิยายวิทยาศาสตร์ คือเรื่องของการคาดเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยอาศัยวิชาความรู้ของโลกปัจจุบันนี้แล้วก็อดีตกาล แล้วก็โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในธรรมชาติ แล้วก็จุดสำคัญของระเบียบวิธีทางด้านวิทยาศาสตร์ (การสังเกต การตั้งข้อสมมติฐาน การทดลองข้อสมมติ รวมทั้งการสรุปผล)”
“เฟรดเดอริก โพห์ล” (Frederik Pohl) นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์นามลือกระเดื่องผู้หนึ่งได้บอกความหมายของนิยายวิทยาศาสตร์ว่า “นิยายวิทยาศาสตร์เป็นนิยายที่ แสดงถึงผลปรากฏว่า เป็นเครื่องไม้เครื่องมือสำคัญในการศึกษาเล่าเรียน ผลพวงจากพฤติกรรมและก็ประดิษฐกรรมของคนเรา”
ภาพยนตร์ไซ-ไฟ ยุคสมัยใหม่ต่อๆมา เยอะมากนานาประการแนว ทั้งยังไอเดียสุดล้ำ และก็ฉากตื่นตาตื่นใจ
“ไซ-ไฟ” หรือ บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ “Science fiction” หรือย่อๆ“Sci-Fi” นั่นเอง โดยภาพรวม ก็คือ เรื่องที่จินตนาการขึ้นมาไม่ว่าจะออกมาในแบบสื่อใดๆ จะเป็น นิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูน หรือสื่อหรรษาอื่นๆอื่นๆอีกมากมาย โดยจะเน้นย้ำการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ วิทยาการ หรือเทคโนโลยีก้าวล้ำ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต-สังคม หรือต่ออารยธรรม-โลก(ทั่วโลกนี้หรือดาวอื่น!)-หรือระดับจักรวาล! (แม้กระนั้นที่จริงแล้วตอนนี้ไซไฟปรับปรุงตนเองไปไกล ขยายขอบเขตครอบคลุมกว้างมากมายๆๆๆมันบางทีอาจไม่ใช่แค่เพียงแค่การจำเป็นต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของการใช้วิทยาศาสตร์มาต่อยอดแต่งแรื่องเพียงแค่นั้น เนื่องจากว่ายังปกคลุมไอเดียลี้ลับที่วิทยาศาสตร์ยังไม่บางทีอาจให้การรับประกันด้วย หรือกระทั้งยังวิทยาศาสตร์ปฏิเสธอะไรก็แล้วแต่ก็ได้ เช่น ไอเดีย ที่ว่า จักรวาลเกิดขึ้นเพราะเหตุว่าสิ่งทรงภูเขาไม่พิเศษกำลังฝัน ก็ยังมี หรือพล็อตที่มีไอเดียว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นA.I. ก็เรียกไซไฟได้เหมือนกัน +_=) … แม้กระนั้นหลักเกณฑ์ที่จะตรึกตรองว่า สื่อรื่นเริงนั้นๆมีความเป็นไซ-ไฟ หรือเปล่า ? โดยกว้างๆสรุปแล้ว ถ้าหากว่ามีส่วนผสมของส่วนประกอบเชิงวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี หรือสิ่งลึกลับที่มนุษย์เชื่อหรือคิดประมาณว่าอาจมี ทุกแบบ อย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 หัวข้อด้านล่างนี้แล้ว(แม้น้อยนิดก็ตาม) ก็เพียงพอจะจัดได้เป็น ไซ-ไฟ (แต่ว่าจะเป็นไซ-ไฟเข้มข้น หรืออย่างอ่อนๆก็เป็นอีกกรณี)
1.วิทยาการ-เทคโนโลยีสุดล้ำ เช่นการมีประดิษฐกรรมหรือ วัสดุอุปกรณ์เทคโนโลยี-ของใหม่ล้ำยุค เป็นต้นว่าระบบคอมพิวเตอร์,หุ่นยนต์, อาวุธ อื่นๆอีกมากมาย หรือองค์วิชาความรู้วิทยาการล้ำสมัยอย่างที่นาโนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม การโคลนิ่ง สติปัญญาประดิษฐ(A.I.) ฯลฯ
*Futuristic Innovation & Technology / Robot / Androids or Humanoid Robots / Artificial Intelligence / New Scientific Principles / Bioengineering / Nanotechnology / Futuristic Weapon
2.สิ่งมีชีวิตพิเศษ/เหนือปกติ บางครั้งอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกนอกโลก เป็นต้นว่า มนุษย์ดาวอื่นทรงความคิด อสูรกายต่างดาว หรือจะสิ่งมีชีวิตพิเศษที่เกิดขึ้นด้านในโลกเอง ซึ่งมักมีเหตุมาจากการทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ หรือการกลายพันธุ์พัฒนาการตามธรรมชาติ อันอาจมีพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์พิเศษ หรือถึงแม้ทำนองเป็นสิ่งมีชีวิตลี้ลับไม่เห็นตัวตน แม้กระนั้นเป็นแบบพลังงาน หรือวิญญาณ ไปจนกระทั่งกรณีของ เทวดา-พระผู้เป็นเจ้า! ก็ได้
*Alien / Mutants / Genetic Engineering Technology / Paranormal Abilities (Mind control, Telepathy, Telekinesis, and Teleportation)
3.การเดินทางท่องอวกาศ-ท่องเวลา(หรือท่องมิติอื่นๆ!) การเดินทางออกนอกโลกเพื่อทำหน้าที่บางสิ่งบางอย่าง หรือการสำรวจอวกาศยังต่างดาวอื่นๆเอ็งแลคซีอืน จักรวาลอื่น อื่นๆอีกมากมาย หรือการเดินทางผ่านระยะเวลาแบบ ย้อนอดีต ท่องอนาคต หรือกระทั้งยังไปมิติอื่นๆมิติคู่ขนาน มิติที่สูงกว่า อื่นๆอีกมากมาย
*Space Travel & Space Exploration / Time Travel-Faster Than Light Travel(FLT)-Time Machine / Multiverse-Parallel Universe-Higher Dimensions
- ระบบสังคม-สภาพแวดล้อมใหม่ที่โลกอนาคต(หรือมีผลย้อนอดีตก็ตาม) ผลพวงจากวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีต่อวิถีผู้คนในสังคมหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่ว่าจะเป็นเชิงกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม/ภัยจากธรรมชาติ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการบ้านการเมือง หรือแม้กระทั้งข้อความสำคัญทางศาสนา-ลัทธิความเชื่อ อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งบางทีอาจเป็นโลกใหม่อันเจริญงดงาม หรือ โลกเศร้าใจ สังคมอันชั่วร้ายจากการทำศึก โรคภัย ก็แล้วแต่
- Futuristic World / Futuristic Political or Social Systems( Utopia, Dystopia, Post-Scarcity, or Post-Apocalyptic Situation)
รวมทั้งถ้าเกิดจะแบ่งประเภทและชนิดของไซ-ไฟต่างๆแล้ว ในเชิงวิชาการย่อมมีแนวทางแบ่งกันได้นานาประการหมู่ สุดแล้วแต่ว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไรบ้างในการแบ่ง แต่ว่าในที่นี้จะสรุปแบบรวบรัดเข้าใจง่ายที่สุด ขอจัดเป็น 3 จำพวกกว้างๆโดยตรึกตรองจาก กรณีความเข้มข้นของการพิจารณาหรือการอ้างอิงหลักข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์ ในเรื่องราวของสื่อไซ-ไฟนั้นๆมาเป็นกฏเกณฑ์สำหรับเพื่อการแบ่ง ดังต่อไปนี้

- Hard Sci-Fi หรือ ไซ-ไฟขมักเขม้น
เป็น Sci-Fi ที่มีส่วนประกอบและบรรยากาศต่างๆออกมาค่อนข้างจะสมจริงสมจังมีเหตุผล ให้ความเอาใจใส่กับการอ้างอิงในวิธีการหรือแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ตามความจริงออกจะเข้มงวดมากมายเป็นพิเศษ เทคโนโลยีหรือประดิษฐกรรมต่างๆที่ประกอบในเรื่องก็เลยน่าไว้ใจ ทั้งยังมีทิศทางสามารถเป็นได้จริงสูง อาทิเช่น อุปกรณ์ วัสดุอุปกรณ์ ยานอวกาศ ยานพาหนะต่างๆอื่นๆอีกมากมาย (แต่จะต้องไม่ลืมเลือนว่า เหมือนจริงอย่างไรก็ยังเพียงแค่เรื่องที่จินตนาการแต่งขึ้นกับนั่นเอง)Hard Sci-Fi ส่วนใหญ่บางทีอาจไม่ย้ำการบู๊แอคชั่นมากเท่าไรนัก ชอบออกแนวดราม่ามากยิ่งกว่า อีกทั้งบางทีอาจไม่มีสิ่งใหม่ล้ำหลุดโลกแบบอย่างแฟนตาซีตื่นตาตื่นใจ หรือจนถึงบางทีอาจจะไม่มีการปรากฏตัวของผู้คนต่างดาว สิ่งมีชีวิตตัวประหลาดใดๆก็ตามเลย แต่ว่าจะไปเน้นย้ำที่การนำเสนอแนวคิค การตั้งข้อคิดเห็น หรือการสะท้อนนัยยะหนักๆอันเป็นการกระตุ้นความนึกคิดให้ผู้เสพได้ไปจินตนาการต่อเอง ทั้งยังบางเรื่องอาจมีการนำเสนอที่ออกมามองลึกล้ำจนกระทั่งเข้าใจยาก เลยเรียกอีกอย่างว่าเป็น “ไซ-ไฟ ปรัชญา” แบบอย่างภาพยนตร์ไซ-ไฟ ที่ถือว่าเพียงพอเป็น Hard Sci-Fi เช่น Metropolis, 2001: A Space Odyssey, Apollo 18, Contact, Moon, Gravity ฯลฯ Hard Sci-Fi ก็เลยบางทีอาจเป็นยาขมสำหรับคนสามัญ แต่ว่าเป็นที่ถูกใจต่อฝูงคนรักแนวไซ-ไฟ จริงๆ
- Soft Sci-Fi หรือ ไซ-ไฟกลางครึ่งหนึ่งแฟนตาซี
จำพวกนี้จินตนาการอาจมีความน่าจะเป็นไปได้จริงแง่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์อยู่พอสมควร แต่ว่าก็มีความเป็นแฟนตาซีมากขึ้นเรื่อยๆกว่า Hard Sci-Fi ไปอีกระดับSoft Sci-Fiก็เลยมีความยืดหยุ่นของบรรยากาศ เรื่องราว รวมทั้งผู้แสดง สามารถใส่ลูกเล่นจินตนาการฝันเฟื่องได้มากเพิ่มขึ้นด้วย โดยไม่ต้องนึกถึงหลักเรื่องจริงอย่างเคร่งครัดเหลือเกิน แบบอย่างภาพยนตร์ อาทิเช่น Star Gate, Star Trek, Blade Runner,Gattaca, Alien, The Matrix, Inception, Prometheus ฯลฯ ซึ่งชอบควรมีฉากแอคชั่น เสี่ยงอันตราย หรือการปรากฏตัวของผู้คนต่างดาว สิ่งมีชีวิตแปลก กระอีกทั้งเทคโนโลยีแบบหลุดโลกมีบ้างในระดับหนึ่ง อันเป็นสีสันล่อใจความพอใจได้อย่างดีเยี่ยม ก็เลยเป็นปกติที่ Soft Sci-Fiค่อนข้างจะเป็นที่ชื่นชอบกว่า Hard Sci-Fi ด้วยมีความสนุกสนานร่าเริงมากยิ่งกว่า และก็เข้าใจง่ายกว่านั่นเอง ทั้งยังบางเรื่องก็ยังคงมีแอบแฝงความลุ่มลึก ให้แง่คิดหนักๆมีความเป็น ไซ-ไฟปรัชญา อยู่บ้างด้วยด้วยเหมือนกัน
- Sci-Fi Fantasy หรือ ไซ-ไฟเพ้อเจ้อเต็มขั้น
ไซ-ไฟแฟนตาซี เป็นไซ-ไฟที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงความถูกต้องแน่ใจ หรือจำเป็นต้องตั้งอยู่บนรากฐานความน่าจะเป็นจริงตามหลักทฤษฎีทางด้านวิทยาศาสตร์มากสักเท่าไรนัก หรือแทบจะไม่ต้องพิจารณาถึงเลยก็ได้ เรียกว่าใจกันไปได้เต็มกำลัง แม้กระนั้นถึงเรียกว่าเพ้อเจ้อ ในความเป็นไซ-ไฟ ก็ย่อมมีความมีเหตุมีผลในบริบทของเรื่องหรือกฏเกณฑ์ที่สมมติขึ้นมาในเนื้อเรื่องอยู่นั่นเอง (ไม่อย่างนั้นก็จะหลุดไปเป็นเประเภทแฟนตาซี เชิงเทพนิยายเวนมนตร์คาถาอาคมไป) และมิได้แสดงว่าเพียงแค่เพ้อเจ้อ ไม่บางทีอาจเป็นได้จริงเลยซะทีเดียว เนื่องจากว่าวิสัยทัศน์ไอเดียหลายๆอย่างในไซ-ไฟแฟนตาซี ก็แปลกใหม่ให้แรงดลใจต่อวิทยาศาสตร์ มีผลเป็นเทคโนโลยีของใหม่ในโลกข้อเท็จจริงในเวลาถัดมาได้มากมาย ไม่แพ้ Hard Sci-Fi หรือSoft Sci-Fi แม้กระนั้นด้วยความเป็น ไซ-ไฟแฟนตาซี ก็เลยไปเน้นย้ำที่การสร้างเรื่องให้บันเทิงใจเชื้อเชิญติดตาม นักแสดงมีเอกลักษณ์เด่น ทั้งยังย้ำฉากบู๊แอคชั่นเสี่ยงอันตรายวิจิตรตระการตาเป็นหลักมากยิ่งกว่า โดยใช้ส่วนประกอบ-บรรยากาศของความเป็นวิทยาศาสตร์เป็นเพียงแค่ส่วนช่วยเหลือ ให้มีความเด่นน่าดึงดูดเพิ่มขึ้นเพียงแค่นั้น ภาพยนตร์และก็สื่อหรรษาไซ-ไฟจำนวนมากก็เลยมักเป็นจำพวก Sci-Fi Fantasy ด้วยได้โอกาสประสบความสำเร็จในเชิงการค้ามากยิ่งกว่านั่นเอง เช่น ภาพยนตร์ดังเป็นที่ชื่นชอบทั่วทั้งโลก Star Wars, Back to the future,Terminator, Pacific Rim, Godzilla หรือ ภาพยนตร์แนวซุปเปอร์วีรบุรุษอย่าง X-Men, Ironman,Batman,Superman, The Avengers อื่นๆอีกมากมาย
รวมทั้งแน่ๆว่าในโลกยุคสมัยใหม่ตอนนี้ อันมักเรียกกันว่า สมัยโพสต์โมเดิร์น(Post-Modern) เป็นสมัยที่ความมากมายหลาย ไซ-ไฟ สามารถจัดเป็นจำพวกลูกผสม(Hybrid) ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น Sci-fi Action, Sci-fi Thriller, Sci-fi Horror, Sci-fi Drama, Sci-fi Comedy อื่นๆอีกมากมาย…แล้วแต่ผู้เขียนหรือผู้ชมจะแปลความหมายจัดให้เป็นชนิดไหน (ในเวลาเดียวกัน หนัง-นิยาย-บันเทิงคดีเชื้อสายอื่นๆครั้งคราวก็มีความเป็น ไซ-ไฟ ปนอยู่ด้วยบ้างด้วยเหมือนกัน แม้กระนั้นบางทีอาจเป็นเพียงแต่ส่วนเสริมนิดๆหน่อยๆหรือมากพอควรก็ตามที)
- เสริม: Sci-Fi = Science Fiction และก็คำ ‘Fiction’ = เรืองแต่ง ทราบกันดีอยู่แล้วแล้วว่า มันเป็นไอเดียแต่งขึ้น แตกต่างจาก Non-Fiction = เรื่องเคยเกิดขึ้นจริงๆ
แม้กระนั้นเรื่องแต่งก็ใช่ว่าไม่มีที่มา-ไม่มีสาระ มันนับเป็นไอเดียสมมติฐานขั้นพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ได้เลยถึงจะแต่งขึ้นลอยๆก็ตาม รวมทั้งดีไม่ดีบางทีอาจเป็นจริงในอนาคต รวมทั้งสำหรับ ไซ-ไฟ ก็ผิดเรียกว่าเป็น พวกวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) ซะทีเดียว เนื่องจากกรณี pseudoscience เป็นการอ้างถึงเชิงความเลื่อมใสที่กุขึ้นลอยๆอีกทั้งไม่ได้ยึดแบบแผนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขาดการผลักดันและส่งเสริมด้วยหลักฐานใดๆก็ตามหรือขาดหลักความน่าจะเป็นไปได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งยังไม่สามารถที่จะกระทำตรวจทาน แม้กระทั้งความสมเหตุผลเชิงไอเดียก็จัดว่าต่ำมากมาย (ต่ำยิ่งกว่า Sci-Fi Fantasy เสียอีก) แต่ปรากฏตัวเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ
สรุปกล้วยๆกรณีนี้เป็น Sci-Fi บางทีอาจเกิดเรื่องแต่งที่สมจริงสมจังมากมายแม้กระนั้นก็รู้กันว่ามันแต่งขึ้นก็จบเท่านั้น ในขณะ pseudoscience เป็นเรื่องกุขึ้นลักษณะเดียวกัน แม้กระนั้นก็สร้างภาพว่าเป็นหลักวิทย์ขมักเขม้น ถึงขนาดต่อยอดไปใช้เชิงปฏิบัติจริง มีที่ทำการ หน่วยงานสถาบันทางการ ใกล้การเป็นลัทธิ-ความศรัทธา ไสยศาสตร์ย์!
ส่งท้าย: ย้อนกลับไปที่ ก็แล้ว ไซ-ไฟ เริ่มขึ้นเมื่อไรแน่ ? … คำตอบเป็นไม่มีผู้ใดทราบจริง
แม้กระนั้นหากเชิงนักวิชาการ(แน่ล่ะว่าจึงควรอ้างฝั่งของฝรั่งเป็นหลัก) ก็บางทีอาจพูดว่า มันเริ่มจาก นิยายไซไฟของ Jules Verne บ้าง , H. G. Wells บ้าง คนอื่นอื่นๆอีกมากมาย ทำนองนั้น ซึ่งก็ว่ากันไปตามหลักเช