สหรัฐฯ-อังกฤษ เผยข้อมูล รัสเซียซุ่มทดสอบอาวุธยิงจากดาวเทียมโจมตีดาวเทียมในวงโคจร จุดชนวนสงครามอวกาศ
หน่วยบัญชาการอวกาศแห่งสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม เปิดเผยข้อมูลว่า รัสเซียได้แอบทดสอบเทคโนโลยีใหม่ด้านอวกาศ “อาวุธต่อต้านดาวเทียมในวงโคจร” ที่อาจถูกนำไปใช้ทำลายดาวเทียมของศัตรู โดยอ้างอิงข้อมูลที่ระบุว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ดาวเทียม “คอสมอส 2543” ของรัสเซียได้ยิง “วัตถุปริศนา” บางอย่างออกมาสู่วงโคจร จากนั้นวัตถุปริศนาเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 643 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เข้าไปใกล้ดาวเทียมของรัสเซียอีกดวงหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้พุ่งเข้าชนกันหรือมีเศษซากกระจัดกระจายออกมา แต่สหรัฐฯ เชื่อว่า นี่คือสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องกังวลว่า รัสเซียอาจจะมุ่งโจมตีเป้าหมายดาวเทียมของสหรัฐฯ ในอนาคต
โดยสหรัฐฯ ระบุว่าดาวเทียม “คอสมอส 2543” เป็นดาวเทียมลูกที่แยกตัวออกมาจาก “คอสมอส 2542” เพียง 11 วันหลังจากที่ “คอสมอส 2543” ถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 และก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยกล่าวหาว่าดาวเทียมทั้งสองดวงนี้ ที่เป็นเหมือนดาวเทียมแม่ลูกกัน ได้สะกดรอยตามดาวเทียมสอดแนม USA245 ของสหรัฐฯ กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกมาชี้แจงว่า เป็นการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อตรวจเช็กอุปกรณ์อวกาศ ดาวเทียมคอสมอส 2543 ได้เข้าไปใกล้ดาวเทียมเป้าหมายเพื่อทำการ “ตรวจสอบ”
ไบรอัน วีเดน ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนโครงการ มูลนิธิความมั่นคงโลกเปิดเผยเว็บไซต์ The Verge ว่า คอสมอส 2543 เป็นดาวเทียมตรวจเช็กของรัสเซีย ซึ่งได้เข้าไปตรวจสอบดาวเทียมและจรวดต่างๆ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มันจะค่อยๆ เข้าไปใกล้และใช้เวลาตรวจสอบนานหลายวัน จากนั้นจะแยกตัวออกมา หรือบางครั้งก็กลับเข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติม
ด้าน คริสโตเฟอร์ ฟอร์ด ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศด้านความมั่นคงระหว่างประเทศและการไม่แพร่กระจายอาวุธของรัฐบาลอังกฤษ ระบุว่า รัสเซียพยายามเสแสร้งผลักดันสนธิสัญญาควบคุมอาวุธให้ครอบคลุมไปถึงในอวกาศ เพื่อสกัดสหรัฐฯ ในขณะที่พฤติกรรมของรัสเซียนั้นไม่ต่างจากการยั่วยุให้เกิดสงครามอวกาศ
พลอากาศตรีฮาร์วีย์ สมีธ หัวหน้าสำนักงานอวกาศอังกฤษ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการทดสอบดาวเทียมล่าสุดของรัสเซียที่เหมือนเป็นการทดสอบอาวุธ โดยบอกว่าพฤติกรรมแบบนี้ส่อเค้าเป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขในอวกาศ และเสี่ยงที่เศษซากดาวเทียมจะเป็นอันตรายต่อดาวเทียมและระบบการโคจรในอวกาศของทุกประเทศในโลก พร้อมขอให้รัสเซียรับผิดชอบและหลีกเลี่ยงการทดสอบในลักษณะนี้อีกในอนาคต