จะเป็นได้ไหมว่าในอดีตกาลนั้นชาวอียิปต์สามารถเข้าถึง แหล่งเพชรนิลจินดาที่มีความแข็งแกร่งที่สุดอย่างเพชรได้ อย่างไรก็แล้วแต่ตลอดการตรวจสอบอียิปต์ถึงแม้ ‘เซอร์ ฟลินเดอรส์ เพตรี’ (Sir Flinders Petrie) จะศึกษาและทำการค้นพบลายเส้นเจาะอยู่จำนวนมาก แม้กระนั้นเขายังไม่เคยศึกษาค้นพบการปรากฏตัวของเพชรใดๆก็ตามเลย! แล้วถ้ามันมีอยู่จริง เพชรกลุ่มนี้มันหายไปไหนหมด? มันไปอยู่ที่แห่งไหน? แน่ๆว่าประเด็นนี้พวกเราก็ยังไม่บางทีอาจทราบได้ ถ้าเกิดชาวอียิปต์โบราณมิได้มีเครื่องไม้เครื่องมือเพชรมาไว้ใช้สำหรับงานสร้าง แล้วพวกเขาสามารถตัดหรือเจาะหินแกรนิตเหล่านี้ได้เช่นไร จะเป็นได้ไหมว่าสิ่งที่ Petrie ศึกษาและทำการค้นพบโดยบังเอิญนั้น เป็นหลักฐานที่คงเหลืออยู่ของผลที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าจากมนุษย์ดาวอื่น
Chris Dunn ผู้ชำนาญด้านเครื่องกลได้เคยทดลองเพียรพยายามตอบปัญหานี้ โดยเขาได้สร้างสว่านเจาะหินแกรนิตขึ้นมา เพื่อเอาอย่างเครื่องไม้เครื่องมือและก็เคล็ดวิธีที่ชาวอียิปต์โบราณได้ใช้
การทดลองนี้บางทีอาจชี้ให้เห็นว่าชาวอียิปต์สามารถเจาะหินแกรนิตได้จริงๆหรือเปล่า เขานำท่อที่เตรียมขึ้นมารวมทั้งปรับปรุงแก้ไขข้อเหวี่ยงโดยใช้ส่วนประกอบของทรายแล้วก็ซิลิคอนคาร์ไบด์ (silicon carbide) จากความพากเพียรทำอยู่หลายชั่วโมงสำหรับในการกลึงแล้วก็เจาะเข้าไปในหินแกรนิตชิ้นนี้ ตอนท้ายเขาก็ได้ระดับความลึกที่มากพอเพียงจะสามารถดึงศูนย์กลางของมันออกมาได้
แม้กระนั้นเหตุผลของการทดสอบในคราวนี้นั้นมิได้เพื่อมองแต่ว่าภาวะผิวโดยรวมแค่นั้น แม้กระนั้นพวกเขาจะเน้นย้ำศึกษาเล่าเรียนไปยังศูนย์กลางของการเจาะในคราวนี้
โดยขั้นถัดไปเป็น คณะทำงานจะใช้กล้องจุลทรรศน์ทรงอำนาจสูง (industrial microscope) เพื่อส่องพินิจพิจารณา เทียบระหว่างแกนขุดที่ผลิตขึ้น กับ แกนขุดต้นฉบับที่ได้มาจากพิพิธภัณฑสถาน Petrie
เมื่อพวกเขาใช้กล้องถ่ายรูปส่องไปยังแกนขุดที่พวกเขาได้ขุดมันด้วยท่อทองแดงและก็ทราย พวกเขาก็ได้มองเห็นผิวรอยต่อบริเวณศูนย์กลางที่ไม่ค่อยกระจ่างแจ้งสักเท่าไหร่ หรือก็คือมันไม่ค่อยมีความละเอียด นี่ชี้ให้เห็นว่ามันไม่มีอะไรเด่นเลยในด้านของการใช้งานเครื่องมือขุดที่สร้างขึ้นจากทรายแล้วก็ทองแดง
ต่อนี้ไปเมื่อพวกเขาได้ทดลองจับนำงานต้นฉบับขึ้นมาส่องดูบ้าง พวกเขาก็ได้มองเห็นถึงความไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงกับผลงานที่ผลิตขึ้น เนื่องจากว่าการเจาะต้นฉบับจากความสามารถของชาวอียิปต์โบราณนั้น มันมองมีความละเอียดที่มองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง รวมทั้งทำเป็นออกจะลึกกว่ามากมายด้วย ทำให้พวกเขามีความรู้สึกว่าสิ่งที่จะควักหินแกรนิตให้ได้มีความเที่ยงตรงขนาดนี้ มันควรจะเป็นประดิษฐกรรมบางอย่างที่ถูกผลิตขึ้นมาใช้งานเฉพาะด้าน
Chris Dunn ตลึงกับสิ่งที่เขาศึกษาค้นพบนี้จริงๆอย่างที่คุณจะได้มองเห็น ที่ผิวของแกนขุดนั้น จะมีความละเอียดมากถึง 2 ในส่วน 10,000 นิ้ว ซึ่งมีความดกน้อยกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 10 เท่า เขาพูดว่าเขารู้สึกแปลกใจทุกคราวเมื่อได้เข้าไปยังวิหารเซราเพียม (Serapeum) รวมทั้งได้วางอุปกรณ์ที่สำหรับใช้ในการวัดลงบนผิวพวกนี้ เพราะว่าสิ่งปลูกสร้างที่ชาวอียิปต์โบราณนั้นได้ทำขึ้นพวกเขาตั้งใจในเนื้อหาอย่างประณีต
และก็เขาสามารถสรุปได้ถึงความละเอียดของงานหินโบราณกลุ่มนี้ออกมาได้ว่า มันมีความละเอียดอยู่ในระดับ 2 ใน 1,000 นิ้ว โดยเหตุนั้นงานสร้างทั้งสิ้นจะถูกตระเตรียมและก็ดีไซน์กันอย่างมีแบบแผนมากมายๆทั้งเมื่อเขาได้มองเห็นหลักฐานงานแกะบนหินแกรนิต เขาพูดว่าสิ่งนี้บางทีอาจถูกทำขึ้นมาจากเศษควอตซ์ ซึ่งเป็นแร่ที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก เขามั่นใจว่าชาวอียิปต์โบราณได้ใช้มันสำหรับการพร่ำสอนหินให้ออกมาเนียนได้ดั่งใจนึก แม้กระนั้นสิ่งนี้ไม่ใช่ง่ายพวกเราจึงควรใช้ความทรหดอดทนสำหรับในการดำเนินงานอย่างมาก เขาคือว่าจะต้องมีใครสักคนยอมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เวลาตลอดชาติเพื่อมาดำเนินงานขัดหินอะไรแบบนี้ อย่างไรก็ดีในขณะนี้พวกเราก็บางครั้งอาจจะได้มองเห็นอยู่ แม้กระนั้นได้ปรับปรุงเปลี่ยนมาเป็นอาชีพที่เรียกว่า stonecutter หรือช่างตัดหิน รวมทั้งพวกเขาคงจะไม่ได้อยากต้องการดำเนินการอะไรที่ไร้ผลไปทั้งชีวิตถ้ามิได้รับสิ่งตอบแทน
แต่งานตัดหินของชาวอียิปต์โบราณก็ยังคงเป็นที่ระลึกนึกถึงที่ความเร้นลับที่ถูกหลบซ่อนเอาไว้อยู่ในตะวันออกกลาง
ผู้ที่มีความชำนาญด้านวิศวกรรมได้ตรวจทานเรื่องราวในพระตำราที่เกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐานของชาวอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ พูดอีกนัยหนึ่งพวกเขาอยู่รอดมาได้ยังไงนานถึง 40 ปี ท่ามกลางทะเลทราย? พวกเขามิได้สร้างเครื่องจักรอะไรเอาไว้ใช้ประคองชีพเลยหรือ หรือไม่ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่หลงเหลืออะไรสักอย่าง แต่ว่าถึงอย่างงั้นพวกเขาก็ยังคงอยู่รอดมาได้
ในหนังสือฮีบรู (Hebrew Bible) หนังสือย้ายถิ่น (the Book of Exodus) ชี้แจงว่า ในตอนศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล ชาวยิวมีความทุกข์ร้อนทรมาทรกรรมเป็นอย่างมากในฐานะของการเป็นขี้ข้าขณะที่อยู่ภายในอียิปต์ แล้วก็ฟาโรห์ผู้ดูแลในในขณะนั้น เริ่มเกรงต่อผู้คนหัวรุนแรงที่มีเพียงแต่จะมากขึ้นมาในทุกวัน โดยเหตุนี้ท่านก็เลยได้มีคำบัญชาให้ฆ่า คนยิวกำเนิดใหม่ (first-born Jews) ที่อาศัยอยู่ในอียิปต์ทุกคน ถึงถ้าอย่างนั้นก็มีเด็กผู้หนึ่งที่รอดตายจากสถานะการณ์ในคราวนั้น โดยมาตาได้นำเด็กแรกเกิดของคุณใส่ลงกระเช้าใบเล็ก แล้วปลดปล่อยให้เขาลอยละล่องไปตามแม่น้ำไนล์สุดแท้แต่ตามชะตาลิขิต
แต่ว่าเด็กคนนี้ดวงแข็งมากมายเขามีชีวิตอยู่รอดไปถึงฝั่ง แล้วก็ได้เจอกับครอบครัวของฟาโรห์ ก่อนที่จะตั้งชื่อให้ว่า โมเสส และก็อุปถัมภ์ค้ำชูเขาอย่างดีเยี่ยมมานับตั้งแต่วันนั้น
เมื่อโมเสสโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาได้ศึกษาและทำการค้นพบตัวตนที่จริงจริงของเขา แล้วก็ได้วิงวอนให้ฟาโรห์ได้ปล่อยชาวยิวไปเสีย แม้กระนั้นฟาโรห์ทรงไม่ยอมรับ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลือก โมเสสก็เลยได้ช่วยเหลือชาวยิวให้ย้ายถิ่นออกไปจากอียิปต์ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ดีนักประวัติศาสตร์มั่นใจว่า โมเสสรวมทั้งผู้คนเขาได้ผ่านสมุทรแดง (Red Sea) รวมทั้งเดินทางถัดไปยังทะเลทรายไซนาย (Sinai Desert)
ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ในตำราเรียนโบราณ พระผู้เป็นเจ้า (God ) ทรงโกรธดุจไฟกาล เมื่อได้มองเห็นชาวยิวนมัสการรูปนับถือแทนที่จะรำลึกถึงท่าน (Idolatry in Judaism) ท่านก็เลยลงอาญาให้พวกเขาเดินทางผ่านผ่านทะเลทรายอยู่เป็นระยะเวลานานถึง 40 ปี ก่อนจะยอมพวกเขาได้เข้ามาสู่อิสราเอล
ซึ่งระหว่างนี้ ในพระตำราได้พูดว่าชาวอิสราเอลอยู่รอดได้ที่เกิดจากการกินของกินจากแหล่งที่เรียกว่า แมนที่นา (Manna)
แต่ว่าอะไรเป็น Manna จากคำชี้แจงพื้นฐาน พระผู้เป็นเจ้าได้ตระเตรียมของกินเอาไว้ให้เป็นอย่างมาก มันเป็นอย่างที่เชื่อแบบนั้นหรือ? หากว่าในไบเบิลจะชี้แจงว่าชาวยิวจะสามารถเดินทางจากอียิปต์ไปยังดินแดนพันธสัญญา (Promised Land) ได้เช่นไร แต่ว่าสิ่งที่เป็นปัญหานั้นก็คือพวกเขาจำเป็นที่จะต้องผ่านทะเลทรายไซนาย (Sinai Desert) นี่แหละ ที่ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย
มันอาจเลี่ยงได้ยากที่ชาวอิสราเอลเยอะมากๆจากอียิปต์ จะสามารถเลี้ยงชีวิตได้ด้วยเสบียงกรังอันน้อยนิด แม้กระนั้นจู่ๆพระผู้เป็นเจ้าก็ได้เข้ามาช่วยเหลือยังจุดนี้ และก็ได้ส่ง Manna ลงมาจากสรวงสวรรค์ให้กับพวกเขา ซึ่งมันมองคล้ายกับเป็นเม็ดที่ฝนที่โปรยปรายลงมาบนทะเลทราย ก่อนที่จะพวกเขาจะกระทำสะสมมันเอาไว้ภายในวันต่อไป โดยพวกเขาจะให้อาหารแก่ชาวอิสราเอลทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันศุกร์ที่พวกเขาจึงควรเก็บรวบรวม Manna และก็แบ่งของกินเป็น 2 ส่วน เพราะเหตุว่าในวันเสาร์นั้น Manna จะไม่หลุดล่วง
ในระหว่างที่คู่มือฮีบรู (Hebrew Bible) ดูเหมือนจะล้มเหลวสำหรับในการที่จะให้คำชี้แจงที่แจ้งชัด ที่เกี่ยวโยงกับ Manna
อีกใจความหนึ่งของชาวยิวโบราณได้ให้เค้าเงื่อนไว้อยู่ในหนังสือที่ชื่อ ‘โซฮา’ (The Zohar) ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้เก็บรวบรวมข้อคิดเตือนใจทางจิตใจวิญญาณ รวมทั้งการแปลความของชุดหนังสือ โทราห์ (Torah) ที่ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางของความเลื่อมใสคับบาลาห์ (Kabbalah) ลึกลับ ที่ถูกเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 13
The Zohar ชี้แจงสิ่งที่เรียกว่า Ancient of Days เป็นการมอบ Manna แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วนี่เป็น Ancient of Days อย่างงั้นหรอ หรือเปล่าได้ซึ่งก็คือบุคคล, พระผู้เป็นเจ้า หรือสิ่งอื่นกันแน่
จากเนื้อความดูเหมือนจะมีการเอ๋ยถึงไม่เหมือนกันของขนาดหัว รวมทั้งบริเวณใบหน้าที่ถูกเชื่อมต่อกับท่อ รวมทั้งแหล่งแสงสว่างต่างๆที่เกิดขึ้น
นักศาสนศาสตร์แนะว่านี่เป็นคำชี้แจงของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระนั้นจากมุมมองยุคใหม่ ที่ถูกชี้แจงเอาไว้อยู่ในหนังสือ Zohar ได้กล่าวว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าเป็น แต่ว่ามันเป็นลักษณะของเครื่องจักรประเภทหนึ่ง!
แล้วก็จากข้อมูลนี้วิศวกรไฟฟ้า 2 คน ‘จอร์จ แซสซูน’ (George Sassoon) และก็ ‘รอดนี่ เดล’ (Rodney Dale) จะใช้คำชี้แจงทางร่างกายตอนของ Ancient of Days เพื่อมาวางแบบในสิ่งที่เขาเรียกว่า เครื่องจักรแมนท้องนา (Manna Machine)
และก็นี่เป็นคีย์สำคัญของเครื่องจักรแมนท้องนา ที่พวกเขาได้สร้างมันขึ้นมาจากเนื้อความชี้แจงในหนังสือ อย่างเช่นปาก ซึ่งที่จริงมันเป็นท่อที่มีไว้ระบายอากาศ ในช่วงเวลาที่คำชี้แจงของลมหายใจของชีวิต ก็คืออากาศที่เขยื้อนขึ้นไปสู่ท่อ
โดยเครื่องจักรนี้จะใช้ความชุ่มชื้นอากาศในเช้า มาควบแน่นออกมาอยู่ข้างในส่วนหนึ่งส่วนใดของเครื่องจักรที่มองคล้ายกับโดมลูกแก้ว (Plexiglass dome) ซึ่งเป็นที่อยู่ของสาหร่าย ก่อนจะถูกยิงด้วยลำแสงเลเซอร์เพื่อรีบการเติบโต (จะบอกเลยว่านี่เป็นเครื่องเพาะเลี้ยงสาหร่ายเลยก็ว่าได้)
รวมทั้งแน่ๆว่าเครื่องนี้จะต้องอยากพลังงาน แหล่งพลังงานของมันเป็นเตาเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูขนาดเล็ก ซึ่งจะให้อีกทั้งความร้อนรวมทั้งแสงสว่างจากที่อยากได้ ด้วยเหตุดังกล่าวจะว่าไปแล้ว Manna Machine ก็นับว่าเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่มีความอันตรายเป็นอย่างมากประเภทหนึ่ง แต่ว่าคาดว่าเตาเครื่องปฏิกรณ์เคลื่อนนี้คงจะถูกขนไปอยู่ไว้ภายใน หีบที่พันธสัญญา (Ark of the Covenant) โดยวิศวกรไฟฟ้าทั้งคู่อ้างถึงว่าพวกเขาได้ทำอ้างอิงทุกๆส่วนของเครื่องจักรมาจากไบเบิล รวมทั้งเมื่อพวกเขาพากเพียรไขปัญหาสิ่งที่เกี่ยวกับ หีบที่พันธสัญญานี้พวกเขาก็จะตกมาตายทุกหน
ด้วยเหตุนี้แล้วหีบที่พันธสัญญา มันก็เลยดูเหมือนกับว่ากับเป็นที่อยู่อาศัยของวัสดุอุปกรณ์นำสมัยต่างๆที่เอเลี่ยนได้มอบไว้ให้แก่ชาวอิสราเอลในตอน 40 ปีที่การเดินทางผ่านผ่านทะเลทราย
รวมทั้งมั่นใจว่าเครื่องจักรแมนนานี้คงจะให้แหล่งของกินที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อาทิเช่นสาหร่ายคลอเรลลา (chlorella) รวมทั้งนี่ก็น่าจะเป็นแหล่งของกินหลักของพวกเขาในระหว่างเดินทาง
ตอนนี้ขั้นตอนการทำงานของเครื่องจักรประเภทนี้ได้รับการช่วยสนับสนุนแล้วในทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ซึ่งจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อการเป็นแหล่งเสบียงอาหารให้แก่นักเดินทางระหว่างดวงดาว สาหร่ายคลอเรลลา สามารถเพราะเหตุว่าเลี้ยงเอาไว้อยู่ในถังในสิ่งแวดล้อมแบบปิดได้
จากงานศึกษาค้นคว้าวิจัยของทุ่งนาซ่าในปี 1960 ก็ศึกษาค้นพบว่าพวกเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยแค่เพียงการบริโภคสาหร่ายคลอเรลลา โดยไม่พึ่งพาอาศัยของกินประเภทอื่นเลย โดยเหตุนั้นนี่ก็เลยอาจมีความน่าจะเป็นไปได้ที่นักบินอวกาศจะสามารถอยู่รอดได้โดยมีแต่เพียงเพียงแค่แหล่งของกินชนิดสาหร่าย รวมทั้งเครื่องจักรแมนนาก็เป็นคำตอบให้สำหรับปัญหานี้
โดยเครื่องจักรจำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่ำอาทิตย์ละครั้ง แล้ววันนั้นเครื่องก็จะถูกแยกออกเพื่อชำระล้าง เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีความน่าจะเป็นไปได้ว่าวัน ‘ชาบัท’ (Sabbath) หรือช่วงหยุดงานรายสัปดาห์ (ในพระตำรา) โดยความเป็นจริงแล้วหลังจากนั้นก็เป็น วันที่การล้างเครื่องจักรนี้ๆเอง
โดยหนึ่งในแนวความคิดที่ถูกถือมาเอ๋ยถึงก็คือ เครื่องจักรแมนทุ่งนา ถึงแม้ชาวอิสราเอลจะทราบกระบวนการทะนุบำรุง แล้วก็แนวทางเก็บเกี่ยว แม้กระนั้นครั้งเมื่อเครื่องจักรนี้พังทลาย และไม่บางทีอาจใช้การได้อีกต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวนี่ก็เลยเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเดินออกมาจากทะเลทราย
ถึงแม้ว่าการอยู่รอดของชาวอิสราเอลจะขึ้นกับ เครื่องแมนที่นา แม้กระนั้นปัญหาก็คือพวกเขาได้รับมันมาจากตรงไหน? บางบุคคลมั่นใจว่าพวกเขาได้ลักขโมยมันมาจากชาวอียิปต์ก่อนกระทำการย้ายถิ่น แต่ว่าบางบุคคลชี้แนะว่า มนุษย์ดาวอื่นบางทีอาจช่วยเหลือพวกเขาขณะกำลังสู้อยู่กับความแร้นแค้นท่ามกลางทะเลทราย และไม่ว่าพวกเราจะมานะหาคำตอบอะไรก็ตามมาชี้แจงก็ตาม ก็ดูอย่างกับว่า หีบที่พันธสัญญจะได้หายไปจากประวัติศาสตร์พวกเรา